เอาตัวรอด! ขับรถลุยน้ำท่วมยังไงให้ปลอดภัยที่สุด !

  ช่วงหน้าฝนทีไร ปวดใจทุกที! อีกหนึ่งปัญหาโลกแตกของผู้ใช้รถเมื่อต้องเผชิญกับน้ำท่วม ยิ่งในบางพื้นที่มีน้ำท่วมขังสูง ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการเดินทางเป็นอย่างมาก วันนี้ BRG มีคำแนะนำดี ๆ เกี่ยวกับขับรถลุยน้ำท่วมยังไงให้ปลอดภัยที่สุดมาให้ชมกัน !

  1. ระดับน้ำ 5-10 เซนติเมตร

ระดับน้ำใน Level นี้ ถือเป็นน้ำขังแบบเล็ก ๆ ทั่วไป ซึ่งน้ำในระดับนี้รถยนต์ปกติสามารถขับลุยน้ำได้ แต่ควรขับด้วยความระมัดระวัง

  1. ระดับน้ำ10-20 เซนติเมตร

เป็นน้ำท่วมขังระดับปานกลาง รถยนต์ขนาดเล็ก ยังสามารถขับผ่านไปได้ แต่ผู้ขับขี่รถยนต์ขนาดเล็กอาจรู้สึกถึงน้ำที่มากระทบใต้ท้องรถ ดังนั้นควรชะลอความเร็วเพื่อลดการเกิดกระทบของน้ำ

  1. ระดับน้ำ 20-40 เซนติเมตร

ปริมาณน้ำในระดับนี้เริ่มสูงเกินไปสำหรับรถยนต์ขนาดเล็ก มีโอกาสสูงที่น้ำอาจเข้าห้องเครื่อง  รวมไปถึงน้ำอาจเข้าไปเลอะพรมในห้องโดยสารได้ แนะนำว่ารถยนต์ขนาดเล็กควรหลีกเลี่ยง ส่วนรถยนต์ขนาดใหญ่หรือรถกระบะ สามารถขับผ่านน้ำในระดับนี้ได้อยู่

  1. ระดับน้ำ 40-60 เซนติเมตร

น้ำในระดับนี้เริ่มเป็นอันตรายต่อรถยนต์ขนาดเล็ก แนะนำว่าหลีกเลี่ยงได้คือดีที่สุด แต่รถยนต์ขนาดใหญ่ เช่น รถกระบะ รถยนต์ PPV และรถบรรทุก ยังคงสามารถขับผ่านไปได้ แต่ควรระมัดระวังเช่นกัน เพราะน้ำในระดับนี้เมื่อรถยนต์วิ่งผ่าน จะสร้างคลื่นแรงกระทบเข้าห้องเครื่องได้

  1. ระดับน้ำ 60-80 เซนติเมตร

ระดับน้ำใน Level นี้ค่อนข้างจะเป็นอันตรายกับรถยนต์เกือบทุกประเภท เพราะระดับน้ำสูง สามารถเข้าห้องเครื่องได้โดยง่าย และส่งผลให้เครื่องยนต์ได้รับความเสียหายได้

  1. ระดับน้ำสูงเกิน 80 เซนติเมตร

น้ำในระดับนี้ควรหลีกเลี่ยง ไม่ควรขับฝ่าน้ำระดับนี้ไปเด็ดขาด! โดยเฉพาะรถยนต์ขนาดเล็ก เพราะน้ำระดับเกิน 80 เซนติเมตร เป็นระดับน้ำที่สูงเกือบเท่าฝากระโปรงรถเลยทีเดียว อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ เพราะตัวรถอาจไม่ยึดเกาะกับผิวถนน ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้ขับขี่มาก ๆ

3 วิธีที่ควรปฏิบัติเมื่อต้องขับรถลุยน้ำขัง ฉบับง่าย ๆ แต่ได้ผลจริง!
  1. ปิดเครื่องปรับอากาศในรถยนต์

หากต้องลุยน้ำในระดับสูงแต่ไม่เกิน 60 เซนติเมตร แนะนำว่าควรปิดแอร์ในรถยนต์ก่อน  เนื่องจากพัดลมจะพัดน้ำกระจายไปทั่วห้องเครื่อง อาจทำให้เครื่องยนต์ดับได้ แต่บางกรณีเครื่องยนต์อาจไม่ดับ แต่ใบพัดที่กำลังหมุนขณะเปิดแอร์ อาจนำเศษขยะ กิ่งไม้ต่าง ๆ พัดเข้ามาในห้องเครื่อง ทำให้ระบบระบายความร้อนมีปัญหาได้

  1. ลดความเร็วในการขับขี่

การขับขี่รถในขณะมีน้ำท่วมขังก็ถือว่าควรระวังเป็นพิเศษแล้ว การลดความเร็วในการขับขี่ก็สำคัญเช่นกัน เพื่อป้องกันอุบัติเหตุและลดการเกิดคลื่นแรงไปปะทะกับรถยนต์คันใกล้เคียง อีกทั้งหากน้ำที่มากระทบเข้าไปยังห้องเครื่องหรือระบบไฟฟ้า อาจะเกิดความเสียหายตามมาได้เช่นกัน

  1. ควรขับเว้นระยะห่างจากคันข้างหน้า

เนื่องจากการขับขี่ขณะน้ำท่วมขังนั้น ระบบเบรกอาจทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ หรือเบรกไม่อยู่นั้นเอง

คำถามชวนคิด ? ถุงคลุมรถกันน้ำท่วม ควรใช้หรือไม่?!

   รถใครใครก็รัก ยิ่งถ้าต้องเผชิญกับสถานการณ์น้ำท่วมรถยนต์แล้วละก็ หลายคนคงปวดใจไปตาม ๆ กัน แนะนำว่าหากมีเวลาควรนำรถยนต์ไปไว้ในที่สูงที่ปลอดภัยจากการโดนน้ำขังได้จะดีที่สุด และที่สำคัญ! ไม่แนะนำให้ใช้ถุงคลุมรถหรือถุงกันน้ำท่วมรถ เพราะเมื่อรถแช่น้ำนาน ๆ ประกอบกับความชื้นในตัวรถที่มีมาก จะทำให้เกิดเชื้อราขึ้นได้ ซึ่งผลเสียอย่างแรกที่จะเจอเลยคือ เชื้อราจะขึ้นเติมรถไปหมด รองลงมาคืออันตรายต่อร่างกายเรา เพราะเชื้อราเป็นเชื้อที่ส่งผลโดยตรงกับระบบทางเดินหายใจ ระบบผิวหนังและระบบประสาท

 นอกจากนี้การหลีกเลี่ยงการใช้รถเมื่อน้ำท่วมหนักถือเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพราะหากน้ำท่วมรถแล้ว จะส่งผลต่อระบบส่วนต่าง ๆ ภายในรถอีกมากมาย และตามมาด้วยการส่งซ่อมที่ผู้ใช้รถอย่างเรา ๆ ไม่ถูกใจเอาเสียเลย เพราะบางทีช่างก็ไม่ทะนุถนอมรถเรา  ทั้งนี้หากใครกำลังมองหาศูนย์บริการ ตรวจเช็กและซ่อมรถยนต์นำเข้าที่ได้รับมาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นการดูแลด้านงานสี งานห้องเครื่อง สามารถนำเข้ามาเช็กได้ BRG ทั้ง 3 สาขา  ศรีนครินทร์ รามคำแหงและแจ้งวัฒนะ เรายังเป็นเจ้าเดียวที่มีสต็อกอะไหล่รถยนต์นำเข้าหลากหลายยี่ห้อโดยไม่ต้องรอสั่ง อาทิ Mercedes Benz  Volkswagen Toyota  Honda  Porsche และรุ่นอื่น ๆ อีกมากมาย สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับศูนย์บริการซ่อมรถได้ที่ 085-248-2025 หรือ 094-484-3977

ขอขอบคุณข้อมูลจาก pptv

ดูรายละเอียดรถยนต์รุ่นต่าง ๆ คลิก  

อ่านข่าวสารและโปรโมชั่น  คลิก 

อ่านสาระน่ารู้เกี่ยวกับการดูแลรถยนต์ คลิก 

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว

Privacy Preferences

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save